🩺 คดี Bully แพทย์ลูกศิษย์: บทเรียนจากเหตุการณ์จริง และแนวทางป้องกัน (12 ธ.ค. 2568) 🩺 คดี staff บุคลากรแพทย์กลั่นแกล้งแพทย์ลูกศิษย์ ในอดีตเคยเป็นประเด็นใหญ่ภายในวงการแพทย์ไทย และถูกตั้งสอบด้านจริยธรรมโดยเลขาธิการแพทยสภา ภายใต้ความเห็นชอบของกรรมการแพทยสภา หลังข้อความภายในกลุ่มไลน์ของโรงพยาบาลแพทย์แห่งหนึ่ง “หลุด” ออกสู่สื่อสังคมออนไลน์ จนมีผู้ส่งหลักฐานให้แพทยสภาอย่างเป็นทางการ
ตาม พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 มาตรา 32
คณะกรรมการแพทยสภามีสิทธิกล่าวโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่มีพฤติการณ์น่าสงสัยว่าประพฤติผิดจริยธรรม และให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริงได้
และตาม ข้อบังคับแพทยสภา พ.ศ. 2549
การไม่ให้เกียรติ การกลั่นแกล้ง หรือทำร้ายศักดิ์ศรีกันและกันในหมู่วิชาชีพ ถือเป็น ความผิดทางจริยธรรม
📌 รายละเอียดของคดีตัวอย่าง
Staff รายหนึ่งถูกกล่าวหาว่า
– ว่ากล่าวและดุด่านิสิตแพทย์ที่เข้าห้องผ่าตัดไม่ sterile
– ขว้างแฟ้มใส่นิสิต
– กระชากคอเสื้อ
ผลการสอบสวน:
สตาฟ ผิดจริง ตามหลักจริยธรรม แ…
🩺 คดี Bully แพทย์ลูกศิษย์: บทเรียนจากเหตุการณ์จริง และแนวทางป้องกัน (12 ธ.ค. 2568) 🩺 คดี staff บุคลากรแพทย์กลั่นแกล้งแพทย์ลูกศิษย์ ในอดีตเคยเป็นประเด็นใหญ่ภายในวงการแพทย์ไทย และถูกตั้งสอบด้านจริยธรรมโดยเลขาธิการแพทยสภา ภายใต้ความเห็นชอบของกรรมการแพทยสภา หลังข้อความภายในกลุ่มไลน์ของโรงพยาบาลแพทย์แห่งหนึ่ง “หลุด” ออกสู่สื่อสังคมออนไลน์ จนมีผู้ส่งหลักฐานให้แพทยสภาอย่างเป็นทางการ
ตาม พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 มาตรา 32
คณะกรรมการแพทยสภามีสิทธิกล่าวโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่มีพฤติการณ์น่าสงสัยว่าประพฤติผิดจริยธรรม และให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริงได้
และตาม ข้อบังคับแพทยสภา พ.ศ. 2549
การไม่ให้เกียรติ การกลั่นแกล้ง หรือทำร้ายศักดิ์ศรีกันและกันในหมู่วิชาชีพ ถือเป็น ความผิดทางจริยธรรม
📌 รายละเอียดของคดีตัวอย่าง
Staff รายหนึ่งถูกกล่าวหาว่า
– ว่ากล่าวและดุด่านิสิตแพทย์ที่เข้าห้องผ่าตัดไม่ sterile
– ขว้างแฟ้มใส่นิสิต
– กระชากคอเสื้อ
ผลการสอบสวน:
สตาฟ ผิดจริง ตามหลักจริยธรรม และ ได้รับโทษ พร้อมทั้งโรงพยาบาลปรับระบบงาน โดยให้บุคคลดังกล่าวหยุดเกี่ยวข้องกับนิสิตแพทย์
ที่น่าสนใจคือ…
บุคลากรกลุ่มที่เคยถูกกล่าวหาว่าบูลลี่นักศึกษานั้น หลายคนมีภาพลักษณ์ด้านงานดีเยี่ยม – ขยัน รับผิดชอบสูง คนไข้รัก แต่กลับมีปัญหาพฤติกรรมต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์กรต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
ปัจจุบันยังมีกรณีคล้ายกันเกิดขึ้น เช่น จดหมายร้องเรียนเรื่องแพทย์ประจำบ้านถูกทำร้ายร่างกายและข่มขู่ ที่กำลังแชร์ว่อนในโซเชียล
🛡 แนวทางปฏิบัติเมื่อเกิด Bully ในโรงเรียนแพทย์หรือสถานพยาบาล
1️⃣ ผู้ถูก Bully ต้องแจ้งช่องทางอย่างเป็นทางการ
แจ้งแพทย์พี่เลี้ยง, staff อาวุโส, หัวหน้าแผนก, ผู้อำนวยการโรงพยาบาล หรือผู้บริหารราชวิทยาลัยที่ดูแลสาขานั้น
2️⃣ แจ้งแพทยสภา
เพื่อให้เกิดการตรวจสอบตามระบบจริยธรรมวิชาชีพ
3️⃣ การเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์
ทำได้ แต่ต้องใช้ถ้อยคำสุภาพ แจ้งเฉพาะข้อเท็จจริง และหลีกเลี่ยงการพาดพิงเกินจำเป็น
หากผู้เห็นเหตุการณ์เป็นผู้โพสต์ จะเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือ
4️⃣ ผู้บริหารการศึกษาแพทย์ต้องรับผิดชอบ
ต้องไม่ปล่อยให้มีเหตุการณ์บูลลี่ในสถานการศึกษา อ้างว่าเป็น “นิสัยส่วนตัว” ไม่ได้ ควรแก้ไขทันที ไม่ว่าจะโดยระบบควบคุม หรือลดบทบาท/เปลี่ยนหน้าที่ผู้ก่อเหตุ
5️⃣ ต้องสอบสวนอย่างเป็นธรรม
ทั้งต่อผู้ถูกกล่าวหาและผู้ร้องเรียน พร้อมวางมาตรการป้องกันมิให้เหตุการณ์ซ้ำ
6️⃣ ต้องคุ้มครองผู้ร้องเรียน
ต้องไม่ถูกกลั่นแกล้งภายหลัง เช่น การขู่ “จะไม่ส่งสอบ” หรือการลดโอกาสในวิชาชีพ
7️⃣ วงการแพทย์ต้องเฝ้ามองอย่างจริงจัง
ควรสังเกตทั้ง อาจารย์ต่อศิษย์ และ ศิษย์ต่ออาจารย์ หากพบความรุนแรงหรือการใช้อำนาจในทางที่ผิด ต้องรีบแจ้งหน่วยงานที่มีอำนาจแก้ไขทันที
หากตนเองมีอำนาจ ต้อง “ลงมือ” ไม่เพิกเฉย ไม่ปล่อยผ่าน และไม่มองว่าเป็นเรื่องธรรมดาอีกต่อไป
✖️ แนวคิดแบบ “No pain, no gain”
ได้หมดยุคไปแล้ว การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องแลกกับความกลัว ความกดดัน หรือการถูกล่วงละเมิดศักดิ์ศรี
📌 สรุปสำคัญ
คดี Bully ในโรงเรียนแพทย์เคยเกิดขึ้นจริง และนำไปสู่โทษทางจริยธรรมตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม
แม้ผู้ก่อเหตุจะเป็นบุคลากรที่ขยันและได้รับความรักจากผู้ป่วย แต่ การทำร้ายศักดิ์ศรีลูกศิษย์ถือเป็นความผิดร้ายแรง
ผู้ถูก Bully ต้องมีช่องทางร้องเรียนที่ปลอดภัย และต้องได้รับการคุ้มครอง
ผู้บริหารต้องไม่เพิกเฉย ต้องลงมือแก้ไขอย่างเป็นระบบ
สังคมแพทย์ต้องจับตาและร่วมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ปลอดการใช้ความรุนแรง
การฝึกอบรมแพทย์ไม่ควรอาศัยความกลัวหรือการกดขี่ แต่ควรตั้งอยู่บนความเคารพและความเป็นมืออาชีพ
When this happens, it’s usually because the owner only shared it with a small group of people, changed who can see it or it’s been deleted.