Mr. Scorsese (2025) ซีรีส์ความยาว 5 ตอน ที่สำรวจชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานในภาพใหญ่ของ มาร์ติน สกอร์เซซี กวาดคำวิจารณ์แง่บวกล้นหลามนับตั้งแต่นาทีที่มันออกฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลภาพยนตร์นิวยอร์กเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนที่ Apple TV จะปล่อยสตรีมมิงให้ดูกันหลังจากนั้น และแน่นอนว่ามันก็กลายเป็นหนึ่งในสารคดีที่หลายคนรักอย่างยากจะปฏิเสธ
สำหรับสกอร์เซซี เขาเป็นคนทำหนังชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ส่งอิทธิพลต่อฮอลลีวูดและภาษาภาพยนตร์มากที่สุดคนหนึ่ง เรื่องราวของชีวิตเขาจึงเป็นที่สนใจของคนที่เติบโตมากับฮอลลีวูดช่วงคาบเกี่ยวยุค 70-80s กับหนังมากมายที่เราอาจเคยผ่านตามาแล้วอย่าง Taxi Driver (1976), Goodfellas (1990), Raging Bull (1980) หรือหนังยาวลำดับล่าสุด Killers of the Flower Moon (2023) กับเส้นเรื่องที่พูดถึงมาเฟีย ความเป็นชายและความแปลกแยกอันขมขื่น ศรัทธาที่มนุษย์มีต่อพระเจ้าและตัวตน รวมทั้งบริบทสังคมของสหรัฐฯ ในยุคสมัยต่างๆ ทั้งหลังสงครามเวียดนามไปจนถึงช่วงการเติบโตของทุนนิยมเต็มขั้น
ซีรีส์กำกับโดย รีเบกกา มิลเลอร์ คนทำหนังจาก *Maggie’s …
Mr. Scorsese (2025) ซีรีส์ความยาว 5 ตอน ที่สำรวจชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานในภาพใหญ่ของ มาร์ติน สกอร์เซซี กวาดคำวิจารณ์แง่บวกล้นหลามนับตั้งแต่นาทีที่มันออกฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลภาพยนตร์นิวยอร์กเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนที่ Apple TV จะปล่อยสตรีมมิงให้ดูกันหลังจากนั้น และแน่นอนว่ามันก็กลายเป็นหนึ่งในสารคดีที่หลายคนรักอย่างยากจะปฏิเสธ
สำหรับสกอร์เซซี เขาเป็นคนทำหนังชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ส่งอิทธิพลต่อฮอลลีวูดและภาษาภาพยนตร์มากที่สุดคนหนึ่ง เรื่องราวของชีวิตเขาจึงเป็นที่สนใจของคนที่เติบโตมากับฮอลลีวูดช่วงคาบเกี่ยวยุค 70-80s กับหนังมากมายที่เราอาจเคยผ่านตามาแล้วอย่าง Taxi Driver (1976), Goodfellas (1990), Raging Bull (1980) หรือหนังยาวลำดับล่าสุด Killers of the Flower Moon (2023) กับเส้นเรื่องที่พูดถึงมาเฟีย ความเป็นชายและความแปลกแยกอันขมขื่น ศรัทธาที่มนุษย์มีต่อพระเจ้าและตัวตน รวมทั้งบริบทสังคมของสหรัฐฯ ในยุคสมัยต่างๆ ทั้งหลังสงครามเวียดนามไปจนถึงช่วงการเติบโตของทุนนิยมเต็มขั้น
ซีรีส์กำกับโดย รีเบกกา มิลเลอร์ คนทำหนังจาก Maggie’s Plan (2015) และ She Came to Me (2023) ซีรีส์เล่าเรียบง่าย มิลเลอร์สัมภาษณ์สกอร์เซซีว่าด้วยชีวิตตั้งแต่วัยเยาว์ของเขา ควบคู่ไปกับแรงบันดาลใจและหนังเรื่องแรกๆ ที่เขากำกับ นับตั้งแต่หนังสั้นจนถึงหนังยาว พร้อมด้วยบรรดาเพื่อนวัยเด็ก (ที่เคยถูกใช้บริการให้มาแสดงหนังเรื่องแรกๆ ของสกอร์เซซี) และเพื่อนคนทำหนังร่วมยุคสมัยทั้ง สตีเวน สปีลเบิร์ก, ไบรอัน เดอ พัลมา ตลอดจนนักแสดงคู่บุญอย่าง โรเบิร์ต เดอ นีโร และลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ

มิลเลอร์เล่าว่า สิ่งที่เธอทำคือการถามคำถามอันเรียบง่ายให้สกอร์เซซี และฟังคำตอบอันซื่อตรงจากเขาเท่านั้น “ฉันไม่ได้ไปคะยั้นคะยอให้เขาตอบอะไร แค่รับฟังอย่างตั้งใจ ตอบคำถามเมื่อเขาถามกลับ และด้วยวิธีเช่นนี้ เขาก็ตอบคำถามต่างๆ ของฉันด้วยความสัตย์จริง” มิลเลอร์ให้สัมภาษณ์สมาคมสารคดีนานาชาติ (International Documentary Association) “ว่าไปแล้ว เขาซื่อตรงต่อตัวเองมากกว่าใครที่ฉันเคยพบด้วยซ้ำ”
ความตั้งใจแรกของมิลเลอร์คือการทำสารคดีเป็นหนังยาว แต่เมื่อเธอสัมภาษณ์สกอร์เซซีไปเรื่อยๆ เธอก็พบว่าตัวเองอยู่กับกองฟุตเทจและข้อมูลมหาศาลที่หากจะปล่อยทิ้งไปก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย เธอจึงคิดจะขยายมันออกเป็นหนังยาว 2 เรื่อง แต่ถึงที่สุด ปลายทางของมันก็กลายเป็นซีรีส์ความยาว 5 ตอน สำรวจเหลี่ยมมุมชีวิตของสกอร์เซซีและอิทธิพลที่เขามีต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกอย่างละเอียด

และสำหรับคนทำหนังในยุค New Hollywood สปีลเบิร์กเองก็มีสารคดีที่สำรวจชีวิตเขาเช่นกัน Spielberg (2017) หนังความยาว 2 ชั่วโมงครึ่ง กำกับโดย ซูซาน ลาซี ซึ่งถือเป็นหนังเรื่องแรกของเธอด้วย ก่อนที่ลาซีจะกลายเป็นหนึ่งในคนทำหนังสารคดีที่สำรวจวงการภาพยนตร์อีกหลายเรื่องหลังจากนั้นผ่าน Jane Fonda in Five Acts (2018) และล่าสุดกับมินิซีรีส์ Billy Joel: And So It Goes (2025) ที่ออกฉายทางช่อง HBO เวลานี้
Spielberg ไล่สัมภาษณ์คนรอบตัวของสปีลเบิร์กกว่า 50 คน รวมทั้งเพื่อนคนทำหนังอย่างสกอร์เซซี, เดอ พัลมา, ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา, จอร์จ ลูคัส และกองทัพนักแสดงที่เคยร่วมงานกับเขา เช่น ดิคาปริโอ, เคต, บลันเชตต์, ทอม ครูซ, แดเนียล เคร็ก, ลอรา เดิร์น ฯลฯ
สปีลเบิร์กเป็นหนึ่งในคนทำหนังที่พลิกโฉมหน้าของอุตสาหกรรมฮอลลีวูด ความสำเร็จของ The Sugarland Express (1974) หนังคอเมดีขมขื่นของหนุ่มสาวอาชญากร ส่งผลให้เขากลายเป็นคนทำหนังหน้าใหม่ชวนจับตา หากแต่เทียบไม่ได้เลยกับ Jaws (1975) หนังที่ทำให้คนเกือบทั้งโลกกลัวฉลามจนขยาดลงทะเลอยู่เป็นเดือน มิหนำซ้ำยังจุดประกายของหนังบล็อกบัสเตอร์ที่จะเข้าฉายช่วงซัมเมอร์ ซึ่งกลายเป็นแนวทางสำคัญของฮอลลีวูดในเวลาต่อมา แถมหนังยังทำเงินระเบิดระเบ้อที่ 495 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากทุนสร้างเพียง 9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งความสำเร็จของ Jurassic Park (1993) และการบุกเบิกใช้เทคโนโลยี CGI ที่เนรมิตไดโนเสาร์ขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งยังทำให้เจ้าไทแรนโนซอรัสเป็นตัวร้ายขวัญใจเด็กๆ ไปอีกพักใหญ่ ขณะที่ปีเดียวกันนั้น สปีลเบิร์กก็ปล่อย Schindler’s List (1993) ที่สำรวจบาดแผลและตัวตนของการเป็นยิวช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ลงเอยด้วยการคว้าออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปีมาครอง
ลาซีร้อยเรียงปรากฏการณ์ต่างๆ เหล่านี้อย่างละเอียด ตัดสลับฟุตเทจม