ภายใต้พระสิริโฉมงดงามและสไตล์อันโดดเด่นที่ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ทรงได้รับการยกย่องจากชาวโลกว่าเป็น “QUEEN OF STYLE” เบื้องหลังแล้วคือพระวิสัยทัศน์กว้างไกลในการใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตอันทรงพลัง เพื่อถ่ายทอดอัตลักษณ์ของความเป็นไทยให้เป็นที่ประจักษ์สู่สายตาชาวโลก
“ทุกครั้งก่อนที่จะออกเดินทางไปต่างประเทศ พระเจ้าอยู่หัวจะมีรับสั่งให้ทุกคนที่จะตามไปในขบวนเสด็จมาเฝ้า แล้วทรงเตือนว่า การไปครั้งนี้ของพวกเรา ทุกคนเปรียบเสมือนผู้แทนคนไทยทั้งชาติ ใครมีเรื่องราวทุกข์ร้อนหนักหนาอย่างไร ก็ให้หนักเอาเบาสู้ อย่านึกวาดภาพว่าจะได้ไปเที่ยวสนุกสนานจะได้ไม่ผิดหวัง”
พระราชนิพนธ์ดังกล่าวของ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ที่ทรงถ่ายทอดความทรงจำในการตามเสด็จ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” ไปทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับอารยประเทศ สะท้อนได้ดีถึงพระราชภารกิจอันหนักอึ้ง ในฐานะผู้แทนคนไทยทั้งชาติ
หลังการเสด็จขึ้นครองราชย์ของ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บ…
ภายใต้พระสิริโฉมงดงามและสไตล์อันโดดเด่นที่ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ทรงได้รับการยกย่องจากชาวโลกว่าเป็น “QUEEN OF STYLE” เบื้องหลังแล้วคือพระวิสัยทัศน์กว้างไกลในการใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตอันทรงพลัง เพื่อถ่ายทอดอัตลักษณ์ของความเป็นไทยให้เป็นที่ประจักษ์สู่สายตาชาวโลก
“ทุกครั้งก่อนที่จะออกเดินทางไปต่างประเทศ พระเจ้าอยู่หัวจะมีรับสั่งให้ทุกคนที่จะตามไปในขบวนเสด็จมาเฝ้า แล้วทรงเตือนว่า การไปครั้งนี้ของพวกเรา ทุกคนเปรียบเสมือนผู้แทนคนไทยทั้งชาติ ใครมีเรื่องราวทุกข์ร้อนหนักหนาอย่างไร ก็ให้หนักเอาเบาสู้ อย่านึกวาดภาพว่าจะได้ไปเที่ยวสนุกสนานจะได้ไม่ผิดหวัง”
พระราชนิพนธ์ดังกล่าวของ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ที่ทรงถ่ายทอดความทรงจำในการตามเสด็จ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” ไปทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับอารยประเทศ สะท้อนได้ดีถึงพระราชภารกิจอันหนักอึ้ง ในฐานะผู้แทนคนไทยทั้งชาติ
หลังการเสด็จขึ้นครองราชย์ของ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 หนึ่งในพระราชกรณียกิจสำคัญของ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” คือ การตามเสด็จไปทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับอารยประเทศ โดยเริ่มต้นจากการเสด็จเยือนประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม, อินโดนีเซีย และพม่า จากนั้นจึงเสด็จเยือนประเทศต่างๆในทวีปอเมริกา, ยุโรป, ออสเตรเลีย และเอเชีย
บันทึกประวัติศาสตร์หน้าสำคัญที่ทำให้ชื่อเสียงของ “พระสิริโฉมแห่งสยาม” ขจรขจายไปทั่วโลก ก็คือในคราที่ตามเสด็จไปเยือนสหรัฐอเมริกา และ 14 ประเทศในทวีปยุโรปอย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อปี 2503 สื่อทั่วโลกต่างชื่นชมในพระราชจริยวัตรอันงดงามของ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” รวมถึงนิตยสารโว้ก ได้ส่งช่างภาพมาขอพระราชทานฉายพระฉายาลักษณ์ที่ประเทศไทย เพื่อเผยแพร่ในโว้ก ฉบับเดือนกรกฎาคม 2505 ขณะที่สื่อฝรั่งเศสยกย่องว่าทรงเป็นควีนที่งดงามจับใจ นอกจากนี้พระองค์ยังได้รับการยกย่องให้จารึกพระนามาภิไธยบนหอแห่งเกียรติคุณ ณ มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในฐานะที่ทรงเป็น 1 ใน 12 สุภาพสตรีที่แต่งกายงดงามที่สุดในโลก ประจำปี 2508
ย้อนความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการ ผ่านบทพระราชนิพนธ์ของ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ขณะทรงทำหน้าที่ผู้แทนของคนไทยทั้งชาติ
การตามเสด็จครั้งนี้ฉายให้โลกได้เห็นถึงพระสิริโฉมและพระสไตล์อันโดดเด่น ที่ผสมผสานอัตลักษณ์ของความเป็นไทยเข้ากับความร่วมสมัยในแบบสากลได้อย่างกลมกลืน
“การตามเสด็จอเมริกาและยุโรปเมื่อหน้าร้อน พ.ศ. 2503 นับว่าเป็นการตามเสด็จทางราชการครั้งใหญ่ที่สุดครั้งแรกของข้าพเจ้า รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างน่าตื่นเต้นไปหมด การตระเตรียมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายนับว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้หญิงเรา โดยเฉพาะสำหรับตัวข้าพเจ้าเอง เพราะการที่เสด็จไปตั้ง 15 ประเทศ ก็ต้องเสียเวลาหลายเดือน คือตั้งแต่หน้าร้อน ฤดูใบไม้ร่วง จนถึงหน้าหนาวหิมะตก เสื้อผ้าจึงต้องเตรียมไปสำหรับทุกหน้าและทุกโอกาส ในขั้นต้นข้าพเจ้าได้เชิญผู้ใหญ่หลายคนที่เคยไปอยู่ต่างประเทศ ในฐานะเป็นภริยาราชทูตมาสอบถามและปรึกษาเรื่องการแต่งกาย จากการสนทนาครั้งนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ทราบว่าผู้ที่ได้รับเชิญไปในงานอุทยานสโมสรของราชสำนักเซนต์เจมส์เขาแต่งกายกันอย่างไร เวลาภริยาราชทูตเข้าพบประมุขของประเทศในงานใหญ่หรูหราแต่ละครั้งแต่งกายกันอย่างไร แต่แล้วผู้ใหญ่ให้การแนะนำของข้าพเจ้าต่างก็ลงความเห็นพ้องต้องกันว่า พวกเขาไปงานหรูหราเหล่านั้นในฐานะเป็นเพียงภริยาของทูตทั้งหลาย แต่อย่างไรใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จไปในฐานะตำแหน่งพระบรมราชินีนาถของไทย เป็นเฟิร์สต์เลดี้ของไทย และยังทรงเป็นผู้แทนของหญิงไทยทั้งชาติด้วย เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องใหญ่คนละเรื่องกับเรื่องของเกล้ากระหม่อมฉันทั้งหลาย...ตกลงก็เป็นอันว่าข้าพเจ้าจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจเองว่า ควรจะแต่งกายอย่างไรจึงจะสมควร และเหมาะแก่โอกาสในการตามเสด็จอเมริกาและยุโรปครั้งนั้น”
“แต่ไหนแต่ไรมา คนไทยเรามักชอบแต่งกายกันตามสบายให้เหมาะแก่ความสะดวก ความประหยัด และอากาศของเมืองเราเท่านั้น ฉะนั้นเครื่องแบบประจำชาติเราจึงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่มีประจำอยู่เป็นแบบฉบับอย่างของเพื่อนบ้านใกล้เคียง จนเป็นที่รู้จักแพร่หลายกันทั่วโลก เช่น ส่าหรีของชาวอินเดีย เครื่องแต่งกายของชาวจีน และกิโมโนของชาวญี่ปุ่น บรรดาพวกผู้หลักผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดต่างก็แนะนำให้ข้าพเจ้านุ่งผ้าซิ่นอย่างไทยๆ นี่แหละไปทุกหนทุกแห่ง ข้าพเจ้าก็ยังไม่กล้าตกลงใจที่จะกระทำตาม เพราะมีปัญหาขัดข้องเรื่องเสื้อผ้าที่สวมกับผ้าซิ่น ด้วยเรายังไม่มีเสื้อผ้าที่จะใช้เป็นแบบฉบับ เมื่อสมัยสมเด็จพระพันปีหลวง ท่านทรงผ้าโจงกระเบนอย่างไทยๆเรา ครั้งกระโน้นฉลองพระองค์เป็นคอปิด แขนหมูแฮม แบบพระราชินีอเล็กซานดรา อันเป็นที่นิยมกันมากของยุโรปในสมัยนั้น ซึ่งข้าพเจ้าจะนำไปใช้ในครั้งนี้หาได้ไม่ เมื่อตอนตามเสด็จสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงไปสิงคโปร์ สมเด็จพระพันปีหลวงก็ทรงชุดฝรั่งอย่างเต็มที่”
“ต่อมาข้าพเจ้าได้ให้ช่วยกันค้นหาพระรูปพระมเหสีของรัชกาลก่อนๆที่มีอยู่ในวังหลวง และของเจ้านายองค์อื่นๆมาดู สมเด็จพระพันวัสสาทรงพระภูษาเยียรบับจีบสายรัดพระองค์ทอง หัวก็เป็นทองฝังเพชร ทรงฉลองพระองค์กรยาว มองผาดๆเห็นคอฉลองพระองค์ตั้งสูง คล้ายเสื้อราชปะแตนของผู้ชายสมัยนั้น ทรงสะพักเป็นสไบปักทับฉลองพระองค์ ครั้นดูให้เก่าไปกว่าสมัยรัชกาลที่ 5 ตอนต้น และกลางแผ่นดิน ไปจนถึงสมัยพระเทพฯในรัชกาลที่ 4 ก็เห็นว่าท่านทรงพระภูษาจีบผ้าเขียนทอง หรือก็ทรงผ้าเยียรบับ อย่างผ้าทรงของสมเด็จพระพันวัสสา ทรงสายรัดพระองค์ทองหัวฝังเพชรเช่นเดียวกัน ทรงสะพักปักทับแพรจีบ ไม่ได้ทรงฉลองพระองค์ ครั้งดูให้ใหม่กว่าสมัยรัชกาลที่ 4 และที่ 5 มาถึงรัชกาลที่ 6 แบบพระวรกัญญาฯ ก็คือทรงผ้าซิ่นป้ายส่วนฉลองพระองค์ตามแบบฝรั่งสมัยหลังสงครามโลกครั้งแรก ซึ่งถ้าจะนำมาใช้ในสมัยนี้ก็ดูไม่เหมาะ ดีไม่ดีหนังสือพิมพ์ต่างประเทศก็จะวิจารณ์กันยุ่งใหญ่ว่าเสื้อประจำชาติไทยที่พระราชินีทรงนี่แบบไหนกันแน่หนอ ฝรั่งก็ไม่ใช่ไทยก็ไม่เชิง”
ด้วยพระวิสัยทัศน์กว้างไกลในการใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตอันทรงพลัง เพื่อถ่ายทอดอัตลักษณ์ของความเป็นไทยให้เป็นที่ประจักษ์สู่สายตาชาวโลก “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” จึงมีพระราชดำริให้ออกแบบเครื่องแต่งกายประจำชาติ เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของชาติไทยขึ้นใหม่ โดยทรงประยุกต์มาจากแฟชั่นการแต่งกายของสตรีในราชสำนักสยามครั้งโบราณกาล
...สำหรับเครื่องแต่งกายชุดไทย ซึ่งข้าพเจ้ากะไว้ว่าจะใช้เป็นแบบฉบับในการตามเสด็จครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้ขอให้ “หม่อมหลวง มณีรัตน์ บุนนาค” ไปพบกับอาจารย์ผู้ใหญ่ที่มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ไทย ให้ช่วยกันค้นคว้าเครื่องแต่งกายแบบไทยต่างๆมาดูกัน แล้วให้ “อุไร ลืออำรุง” ช่างตัดเสื้อที่ตัดให้ข้าพเจ้ามานานปี ช่วยเลือกแบบต่างๆที่ได้มาครั้งนั้นมาประสมประเสกันจนเกิดมีแบบเสื้อชุดไทยขึ้นหลายชุด แต่ละชุดเหมาะแก่โอกาสและสถานที่ โดยเฉพาะผ้าซิ่นเสื้อแขนกระบอกทำด้วยผ้าไหมของเราเอง เป็นที่นิยมชมชอบของชาวต่างประเทศ เพราะเป็นแบบที่เรียบๆไม่ล้าสมัยง่ายๆ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงไทยก็ใช้แบบเหล่านี้มากขึ้นทุกที จนกระทั่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายไปในหลายประเทศ ในที่สุดก็กลายเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติไปแล้ว
หนึ่งในความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการของ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ที่มิเคยลืมเลือนคือ การรับมือกับสื่อต่างประเทศที่ให้ความสนใจอย่างเกรียวกราว
การที่ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” มีพระราชเสาวนีย์ให้ “มร.ปิแอร์ บัลแมง” นำผ้าไหมไทยไปออกแบบตัดเย็บฉลองพระองค์ โดยโปรดเกล้าฯให้ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดเตรียมฉลองพระองค์ทั้งหมด นอกจากจะสมพระเกียรติในโอกาสทรงเยือนนานาประเทศแล้ว ยังเป็นกุศโลบายที่ทำให้ทั่วโลกได้รู้จักความงดงามของผ้าไทย ในฐานะงานศิลป์ทรงคุณค่า และมรดกของชาติไทยที่น่าภาคภูมิใจ.