**“ครอบครัวไม่ได้สอนให้มองโลกแบบขาวดำสักเรื่องเลย เขาไม่เคยบอกว่าเป็นผู้ชายต้องไม่ร้องไห้นะ” **เขาเคยให้สัมภาษณ์ถึงความสัมพันธ์ครอบครัวที่มีรกรากอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา
“เธอไปตามฝันเลย ไม่ต้องคิดถึงเราขนาดนั้น” เขาเคยให้สัมภาษณ์ถึงการลาจากของคนรัก
“ถ้าเป็นต่างชาติมาอยู่ประเทศไทยแล้วเกลียดทุกอย่าง คุณเป็นคนโง่ ถ้ามาแล้วชอบทุกอย่างก็โง่เหมือนกัน อย่าไปคิดว่าขึ้นสวรรค์แล้ว ชีวิตไม่ว่าจะใช้ที่ไหนก็เป็นชีวิต” เขาเคยให้สัมภาษณ์ถึงการย้ายรังมาอยู่ประเทศไทย
“ถ้าผมไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอื่น ตอนนี้ผมอาจจะอยู่ที่เดนเวอร์ คงไม่ได้มาอยู่ที่เมืองไทย” เขาเคยให้สัมภาษณ์ถึงเส้นทางการเป็นอาจารย์สอนดนตรีแจ๊สที่มหา’ลัยศิลปากร
ทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วในซอยสวนผัก
คราวนั้นเขาเป็นหนุ่มโคโลราโดผิวเข้มที่มีนามจริงคือ** ‘จูเลี่ยน แครีย์’ ** แต่เมื่อถูกเอ่ยถึงจนเป็นที่คุ้นหูคนในวงการดนตรี **‘อ.จูเลี่ยน แครีย์ ณ ตลิ่งชัน’ **จึงกลายเป็นนามใหม่ที่เขาปวารณาให้ตัวเอง

จูเลี่ยนมีลูกศิษย์สาขาดนตรีมานับไม่ถ้วนซึ่งเป็น…
**“ครอบครัวไม่ได้สอนให้มองโลกแบบขาวดำสักเรื่องเลย เขาไม่เคยบอกว่าเป็นผู้ชายต้องไม่ร้องไห้นะ” **เขาเคยให้สัมภาษณ์ถึงความสัมพันธ์ครอบครัวที่มีรกรากอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา
“เธอไปตามฝันเลย ไม่ต้องคิดถึงเราขนาดนั้น” เขาเคยให้สัมภาษณ์ถึงการลาจากของคนรัก
“ถ้าเป็นต่างชาติมาอยู่ประเทศไทยแล้วเกลียดทุกอย่าง คุณเป็นคนโง่ ถ้ามาแล้วชอบทุกอย่างก็โง่เหมือนกัน อย่าไปคิดว่าขึ้นสวรรค์แล้ว ชีวิตไม่ว่าจะใช้ที่ไหนก็เป็นชีวิต” เขาเคยให้สัมภาษณ์ถึงการย้ายรังมาอยู่ประเทศไทย
“ถ้าผมไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอื่น ตอนนี้ผมอาจจะอยู่ที่เดนเวอร์ คงไม่ได้มาอยู่ที่เมืองไทย” เขาเคยให้สัมภาษณ์ถึงเส้นทางการเป็นอาจารย์สอนดนตรีแจ๊สที่มหา’ลัยศิลปากร
ทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วในซอยสวนผัก
คราวนั้นเขาเป็นหนุ่มโคโลราโดผิวเข้มที่มีนามจริงคือ** ‘จูเลี่ยน แครีย์’ ** แต่เมื่อถูกเอ่ยถึงจนเป็นที่คุ้นหูคนในวงการดนตรี **‘อ.จูเลี่ยน แครีย์ ณ ตลิ่งชัน’ **จึงกลายเป็นนามใหม่ที่เขาปวารณาให้ตัวเอง

จูเลี่ยนมีลูกศิษย์สาขาดนตรีมานับไม่ถ้วนซึ่งเป็นคนไทยแทบทั้งสิ้น เพราะเขาโคตรจะคล่องภาษาไทย สำเนียงสำนวนชัดแจ๋วเหมือนคนพื้นถิ่นไม่มีผิด และอีกสิ่งที่เห็นกันชัดแจ้งว่าเลือดแดงขาวน้ำเงินซึมเข้าตัวไปแล้ว คือลายมือบรรจงอักษรไทยที่อยู่บนทุกกล่องใบชา
เมื่อสามปีที่แล้วก่อนเริ่มสัมภาษณ์กับ a day
เขาดื่มอเมริกาโนตบท้ายด้วยชาซีลอนในถ้วยกระเบื้องสีขาว
เข้าสู่สิ้นปี 2568 แล้ว แต่ถ้วยกระเบื้องสีขาวใบนั้นก็ไม่เคยหายไปจากหน้าฟีดโซเชียลของจูเลี่ยนเลย มันยังอยู่กับเขาเหมือนเงาตามตัว ไม่ว่าจะตอนเขียนเพลง ร้องเพลง ซ้อมเพลง หรือนั่งชื่นชมใบไม้ ฟุตเทจในวิดีโอสั้นของเขาล้วนมีเจ้าใบเล็กอยู่ด้วย แถมมันยังมีสหายเพิ่มขึ้นมาอีกตั้งหลายใบ ต่างแค่สหายส่วนใหญ่มีสีสันมากกว่า
เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าถ้วยชาเป็นเงาตามตัวเขา หรือตัวเขาเองเลือกที่จะเป็นเงาตามถ้วยชา
เพราะขนาดถ้วยชาสีดำใบใหญ่แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาก็ยังปะติดปะต่อมันจนสมบูรณ์อีกครั้ง
เราได้คำตอบทั้งหมดเมื่อถามไถ่สารทุกข์ของกัน เขาเป็นเงาตามถ้วยชา! ด้วยจำนวนถ้วยชาในบ้านที่มีมากกว่าสิบใบ มากจนอาจใกล้เคียงกับจำนวนผลงานเพลงที่เขาผลิต
ใครจะรู้ว่านอกจากมือที่รักการกดเปียโนจะรักในการถือถ้วยชาอุ่น
ใครจะรู้ว่าเขายังเป็นจูเลี่ยนเมื่อสามปีที่แล้วหรือเปล่า
ใครจะรู้ว่าเขาจะย้ายรังออกจากซอยสวนผักไปที่ไหนอีกไหม
This is tea time talking
เมื่อไม่มีใครล่วงรู้คำตอบ เราจึงเป็นผู้ตั้งคำถาม
บทสนทนากับหนุ่มนักดนตรีแจ๊สและบรรดาเพื่อนสนิทของเขา** ‘ถ้วยชา’ **กำลังเกิดขึ้นในห้องแอร์ที่ไม่ได้เปิดใช้งาน หวังว่าการสละเวลางานของจูเลี่ยนเพื่อมาคุยกับเราจะกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำที่รฤกอันน่าระลึกถึง

ใบของต้นไม้ใหญ่ปรกหลังคาบ้านเขา พื้นเต็มไปด้วยร่องรอยของการผลัดเปลี่ยน แหงนขึ้นไปก็เห็นระเบียงสีขาวที่มีเบาะนั่งสมาธิแผ่กางอยู่ มองลงมาก็เห็นโต๊ะชาและถ้วยชามากกว่าสิบใบเชิดหน้าอยู่ จูเลี่ยนเปิดบทสนทนาว่าก่อนสิบเอ็ดโมงเขาเพิ่งไปเดินเล่นในซอยกับป้าเจ้าของบ้านมาหมาดๆ ถ้าไปอยู่ที่อื่นคงไม่มีอย่างนี้แน่
เราถามเขาว่าปกติเป็นคนกลัวการเริ่มต้นใหม่หรือเปล่า จูเลี่ยนยักไหล่ใส่ ที่จริงเขาเป็นคนลุยๆ และพร้อมเผชิญการเปลี่ยนแปลงเสมอ ความกลัวอาจเป็นส่วนน้อยที่ยังเหลืออยู่ในตัว ส่วนน้อยนั้น คือเด็กชายจูเลี่ยนอายุห้าขวบที่ต้องย้ายโรงเรียนครั้งแรก เขาไม่อยากไป ไม่อยากจากเพื่อน แน่นอนว่าส่วนมากในตัวเขาคือนายจูเลี่ยนอายุยี่สิบแปดปี ท่าทางถึงได้ออกมาเป็นอย่างนั้น
สมมติฐานถัดมาที่เราตั้งใส่ คือแล้วคุณจะเสียดายอะไรไหม หากต้องย้ายรังออกจากบ้านหลังนี้
เขาเงียบไปครู่หนึ่งพลางกลอกตา ก่อนจะถามด้วยเสียงเบาว่าได้ยินไหม
**“เราเสียดายสิ่งนี้” **จูเลี่ยนว่า “เสียงลม เสียงใบไม้ และความเงียบ ถ้าเงียบจริงๆ ก็นับได้เลยว่ามีเสียงอะไรอยู่รอบๆ บ้าง เสียงป้าข้างบ้าน เสียงทีวี เสียงนกกาเหว่า เสียงท่อน้ำ เสียงลมหายใจ”
เรากลอกตาตามทั้งพยักหน้ารับว่าได้ยินเหมือนกัน
“ที่อื่นไม่น่าจะเงียบขนาดนี้” รอยยิ้มของจูเลี่ยนบ่งบอกกลายๆ ว่าหากวันนั้นมาถึงเขาคงเสียดายมันจริงๆ
เมื่อกวาดตามองถ้วยชาบนโต๊ะ เป็นอันต้องถามให้คลายสงสัย “คุณจะยกถ้วยชาทั้งหมดไปบ้านหลังใหม่ด้วยหรือเปล่า”
หนุ่มผิวเข้มตอบอย่างไม่ลังเล **“แน่นอน!” **
แล้วเขาก็แตะปุ่มตั้งกาน้ำ มันส่งเสียงเดือดปุดๆ **“รู้ไหม ครั้งหนึ่งเราเคยมีปัญหากับคนใกล้ตัว เราไม่รู้ว่าเขาไปเจออะไรมาแต่เขาเลือกเอาอารมณ์ทุกอย่างมาลงที่เรา จนมันหนักกับเรามากทั้งร่างกายและจิตใจ จบจากเหตุการณ์นั้นเราก็เข้าไปเรียนตามปกติ พอครูเขาเห็นสภาพเราเข้า เขาก็พยายามเค้นถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เราไม่ตอบ **
“ครูก็ถามขึ้นอีกว่าจูเลี่ยนเคยดื่มชาไหม แล้วหลังจากนั้นเราก็ลองดื่มชาเช้า กลางวัน เย็นเลย ตอนนั้นเราเข้าใจแล้วว่าคนเราไม่ได้ดื่มชาเพื่อลืมความเจ็บปวด แต่เพื่อให้เราอยู่กับความเจ็บปวดได้สบายขึ้น”
จูเลี่ยนยังคล้ายคนในวันวานที่พูดถึงความรวดร้าวของตัวเองกับคนไม่ค่อยรู้จักได้อย่างเปิดเผย
“ช่วยแนะนำถ้วยชาใบแรกที่ซื้อมาหน่อยได้ไหม” เราเอ่ย
ให้ทายว่าเขาจะคว้าใบไหนขึ้นมา ใช่! ถ้วยกระเบื้องสีขาวเมื่อสามปีที่แล้ว
“เราได้มาในราคาสามสิบบาทจากร้านประจำ แต่ก่อนหน้าที่จะกลายเป็นร้านประจำก็เกิดขึ้นจากความบังเอิญนะ ตอนนั้นเรากำลังจะไปเล่นดนตรีแถวเจริญกรุง แล้วก็ขับรถผ่านไปเห็นป้ายสีแดงหน้าร้าน ป้ายใหญ่มากเขียนว่า TEA เราบอกกับตัวเองเลยว่าอาทิตย์หน้าจะต้องมาที่นี่ให้ได้ หลังจากนั้นก็ได้เข้าร้านนั้นจริงๆ มันมีทุกอย่างที่เกี่ยวกับชา ทั้งราคาถูก ราคาแพง เจ้าของร้านก็ใจดี
“ตอนนั้นเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของชาเลยนะ เพิ่งจะเริ่มดื่มเลยแยกอะไรไม่ค่อยออก แต่เราเป็นคนไม่ค่อยเปลี่ยนรสชาติชา แล้วก็ได้ยินเขาว่าถ้าอยากรู้รสชาติที่แท้จริงของชาให้ใช้ถ้วยกระเบื้องสีขาว”

**“คุณชอบอะไรในโลกของชาเหรอ” **เจ้าของเสียงถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
******“เราชอบความหลากหลายของใบชา กว่าจะรู้ว่าชอบรสชาตินี้ไหม คุณภาพชาเจ้านี้เป็นอย่างไรก็ต้องใช้เวลา เราชอบที่ได้ใช้เวลากับชาอย่างช้าๆ นะ ทั้งกระบวนการล้างถ้วยชง ล้างใบชา เทน้ำออก ยิ่งตอนเช้าที่ได้ยินไอน้ำส่งเสียงระหว่างรอบบ้านกำลังเงียบ เรายิ่งชอบ” **จูเลี่ยนพูดขณะมือกำลังลูบถ้วยกระเบื้องขาว
“แต่มันดูไม่ใช่การดื่มธรรมดาเลยนะ คุณดูจริงจังกับมันมากเลยถึงได้มีองค์ประกอบครบเครื่องขนาดนี้” แม้การสนทนาจะล่วงเลยมาสิบนาทีแล้ว เราก็ยังไม่อาจจดจำหน้าตาเพื่อนของจูเลี่ยนได้ทั้งหมด
**“คงเพราะชีวิตเรามีแต่งาน คืองานมันสนุกก็จริงแต่ใช้สมองหนักมากเหมือนกัน การได้อยู่กับชาทำให้เกิดความรู้สึกในอีกโฟลว์หนึ่ง เราไม่ได้ติดคาเฟอีนหรอก มันเหมือนติดเพื่อนสนิทคนหนึ่ง หรือติดคนรักสักคนมากกว่า เราใช้ชีวิตโดยไม่มีเขาก็ได้ แต่เราจะเลือกทางนั้นทำไม ในเมื่อมีกันแล้วมันดี” **
เรายิ้มให้กับคำตอบของหนุ่มตรงหน้า “คุณรู้เรื่องชาลึกระดับไหน”
******“โอย! ถ้าได้เจออาจารย์ของเรานะ จะรู้ว่าเรานี่เบาไปเลย” **จูเลี่ยนหัวเราะ
“แล้วมีโฟลว์ไหนในชีวิตที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในโฟลว์ของชาบ้างไหม” เราแอบเดาไว้คร่าวๆ ว่าคำตอบจะออกมาเป็นอะไร หากเขายังเป็นคนเดิมอยู่มันคงถูกเผง
“การเขียนเพลง!” เป็นอีกครั้งที่เรายิ้มให้กับคำตอบของเขา “ถ้าเป็นไปได้เราจะเขียนมือเพราะเรารู้สึกว่าความคิดที่ออกมาจะเป็นของเราจริงๆ จะได้คิดลึกขึ้นว่าเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นถ้าเล่นด้วยกันแล้วจะเป็นอย่างไร สมองเราจะทำงานในอีกรูปแบบหนึ่ง ตอนนี้เราก็พยายามสร้างโฟลว์ให้ทุกอย่างของชีวิต ทำอาหารก็จดจ่อ หรือเดินเล่นในซอยบ้านจะสังเกตทุกอย่างรอบๆ อย่างดอกไม้ดอกนี้เมื่อวานไม่บานมาวันนี้มันบานแล้ว”
Tea passes the mantle on to Julian
****คนเราส่วนใหญ่มักจะจำของสะสมชิ้นแรกได้ดี และเผลอลืมของชิ้นที่สองไป เรามาลองความจำของนักดนตรีแจ๊สกันหน่อยดีกว่า น่าสนุก! “คุณจำถ้วยชาใบที่สองได้หรือเปล่า”
**“จำได้!” **จูเลี่ยนตอบทันควันจนเราเกือบหลุดปากว่าสุดยอด
เขาหยิบถ้วยชาปั้นดินเคลือบสีน้ำตาลขึ้นมา **“นี่เป็นถ้วยจากคอลเลกชันส่วนตัวของเจ้าของร้าน หลังจากเราเพิ่งมอบตัวเป็นลูกศิษย์วิชา ถึงจะคุยกันเข้าใจยากนิดหนึ่งเพราะเขาเป็นคนแต้จิ๋ว แต่เรารู้ได้เลยว่าเขาเป็นคนที่มีความรู้แน่น เพราะแม้กระทั่งท่าจับกา ท่าจับถ้วยชงก็แม่นมาก รสชาติที่เขาชงออกมาก็เอาเรื่องอยู่ **
“อีกอย่างถ้วยชานี้ก็ทำให้เรากล้าเทชาลงไปจริงๆ จากที่เราไม่กล้าเพราะคิดว่าตัวเองไม่รู้เรื่อง กระทั่งได้รู้ว่าวัสดุของถ้วยชามันเปลี่ยนรสชาติได้ ถึงอยากรู้ว่าความวิเศษของถ้วยชาใบนี้จะเป็นอย่างไร”

“แล้วใบไหนที่คุณหยิบใช้เป็นประจำทุกวัน” ครั้งนี้เราอยากเล่นเกมเดาใจจูเลี่ยนอีก ถึงได้แอบเดาไว้ว่าอาจเป็นถ้วยกระเบื้องสีขาวคู่ใจเขา แต่คำตอบที่ได้รับทำให้มือที่เท้าคางอยู่ไหลพรืด
******“ใบนี้เป็นจอกสาเก เราซื้อมาจากญี่ปุ่น ปกติเราไม่ชอบทรงกับความหนาของแก้วชาญี่ปุ่น แต่จอกสาเกของเขาน่ารักและเพอร์เฟกต์” **เขาหมุนจอกสาเกในมือไปมา

เรานึกแปลกใจ** “เอาน้ำชามาใส่จอกสาเกน่ะเหรอ” **
******“เนี่ย! เรายังคิดอยู่เลยว่าถ้าพูดไปต้องมีใครสักคนที่ซีเรียสมากแน่เลยว่ามันใช้แบบนี้ไม่ได้ แต่ก็” **จูเลี่ยนเงียบไปไม่ถึงวินาที ก่อนจะโพล่งออกมาเสียงดัง “ส่งตำรวจมาจับสิ!” แล้วเขาก็หัวเราะให้กับความทะเล้นของตัวเอง
“ทำไมจอกสาเกถึงกลายเป็นเพื่อนสนิทที่คุณหยิบใช้ประจำล่ะ” เราถาม
จูเลี่ยนเงยหน้าคิด** “เมื่อเดือนสิงหาที่ผ่านมา เราได้ไปโซโลทริปที่ญี่ปุ่น เราเดินแบบถอดสมองเลย ความเหนื่อยที่ติดอยู่ใต้ตามันหายไป เดินขนาดที่ว่าฝนตกก็ยังไม่สนใจเท้าเปียกหรือรองเท้าเหม็น เพราะเราทำงานหนักมาตลอดตั้งแต่ต้นปีก็เลยปล่อยให้ตัวเองทำอะไรที่อยากทำบ้าง**
**“เสียงในหัวคอยบอกว่าเดินเล่นไปเรื่อยๆ เดินอีก เหมือนมีอะไรรอเราอยู่ แล้วก็เจอร้านหนึ่งที่มืดๆ เงียบๆ เจ้าของเป็นคุณยายอายุเก้าสิบกว่า เป็นร้านขายจอกสาเก กาชา จริงๆ ก็ตั้งใจจะไปดูเฉยๆ ไม่ได้ซื้อ แต่พอเข้าไปในร้านต้องร้องอือหือ! ถ้าไม่ซื้อคงรู้สึกผิด เราก็ได้จอกสาเกใบนี้มา” **แล้วน้ำในกาก็ส่งเสียงเดือดปุดๆ อีกครั้ง จูเลี่ยนยกมันขึ้นอย่างคล่องแคล่วไม่ยักกลัวไอร้อน เขาเทน้ำเปล่าลงในถ้วยที่เต็มไปด้วยใบชา แล้วน้ำก็ล้นจนดันใบชาขึ้นมา
หากใครเคยดูซีรีส์สงครามส่งด่วน กระซิบก่อนนิดหนึ่งว่าจูเลี่ยนเป็นนักประพันธ์และขับร้องเพลงประกอบด้วยนะ อะ! กลับมาว่ากันต่อถึงฉากหนึ่งที่ลูกคนจีนถูกตะโกนด่า** “ใครเขาแดกชาน้ำแรกกันวะ โง่ฉิบหาย!” **เพราะวัฒนธรรมการดื่มชาต้องเทน้ำแรกทิ้งเพื่อล้างฝุ่นออกจากใบชา และน้ำร้อนจะช่วยปลุกใบชาให้คลายตัวจากการถูกบีบอัด ส่งให้รสชาติฝาดจางลงทั้งนุ่มละมุนลิ้นขึ้น

“ถ้าให้เลือกหนึ่งใบบนโต๊ะเป็นของที่ระลึกให้คนอื่น มันจะเป็นใบไหนเหรอ” จูเลี่ยนจะตอบว่าไม่ให้เลยก็ได้ในเมื่อมันเป็นของสะสมของเขา แต่เขาเลือกตอบอีกอย่าง
**“ใบสีเขียว” **พลางเอื้อมหยิบถ้วยที่หลุมข้างในถูกวาดเป็นลวดลายใบไม้สีทองให้ดู “เราว่ามันมีความอบอุ่นในตัวเองนะ เออ! ปกติเราจะรับสอนดนตรีที่บ้านใช่ไหม แล้วเราก็ชอบชวนคนมานั่งดื่มชากันที่สเตชันนี้ก่อน เพื่อคุยถึงเป้าหมายชีวิต ทำไมถึงอยากเรียนดนตรี ร้องเพลง หรืออย่างเวลาที่มาซ้อมกันที่นี่แล้วงานมันเดือดมากๆ ก็จะให้นั่งพักดื่มชากัน บางคนถึงขั้นบอกขอดื่มชาก่อนได้ไหม
**“การดื่มชาทำให้เราสังเกตได้ว่าใครเป็นคนละเอียดอ่อน เพราะคนละเอียดอ่อนมักจะตั้งคำถามว่าชาตัวนี้มาจากไหน มีความสนใจในกระบวนการว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ แต่บางคนก็จะเร่งเพราะเขารีบ เราก็จะมีวิธีสอนเขาอีกแบบหนึ่งว่าต้องให้เขาเรียนรู้ที่จะหยุดคิด ที่สำคัญที่สุด คือเราได้แอบฟังเสียงพูดของเขา มันจะบ่งบอกถึงเสียงร้องได้ค่อนข้างชัด **
**“มีครั้งหนึ่งบิวกิ้นมาเรียนดนตรีกับเราที่บ้าน เราก็ชงชาอู่หลงให้เขาดื่ม เขาดื่มแล้วร้องเฮ้ย! ตาสว่างเลย ดื่มแล้วคิดถึงอากง เพราะตอนเด็กๆ ในบ้านจะมีกลิ่นชานี้ เป็นการดื่มชาที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันช่วยเชื่อมโยงความทรงจำดีๆ กับใครสักคนได้” **
I am an imperfect man in an imperfect body
****จูเลี่ยนยื่นถ้วยชาให้เราลองดื่ม ขณะที่เราจิบอย่างระวังเพราะลิ้นแทบพองเมื่อแตะถูกปากแก้ว ชายหนุ่มตรงหน้าก็ซดมันอย่างคล่องคอ คงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนที่ติดชาเย็นมากกว่าชาร้อนอย่างเรา จูเลี่ยนว่าต้องสูดเสียงดัง ให้มีทั้งน้ำชาและอากาศเข้าปาก คราวนั้นเองที่เราหัดดื่มด่ำกับชาในถ้วยใบเล็กตามวัฒนธรรมที่ควรจะเป็น
“คุณพูดถึงชาและความหลังของคนอื่นไป แล้วคุณเองมีความหลังอะไรร่วมกับชาบ้างไหม” เราเงยหน้าถาม
จูเลี่ยนนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง** “ถ้าในอนาคตต้องย้ายบ้านขึ้นมาจริงๆ ชาทุกตัวที่ดื่มหลังจากนั้นคงทำให้เราคิดถึงบ้านหลังนี้ คิดถึงห้องนี้ที่มีคนแวะเวียนมาดื่มชากับเรานะ**
**“อ๋อนี่! มีอีกใบหนึ่งที่เรามองแล้วคิดถึงความหลัง คือใบที่เราได้มาจากพี่ศิลปินคนหนึ่งที่ GalileOasis ตอนที่ได้มาแรกๆ เห่อมาก เอาไปทุกที่เลย ไปมหาวิทยาลัยก็เอาไปด้วย แล้ววันหนึ่งเราก็ดันทำมันแตก เสียใจมาก คิดว่าคงจะซ่อมไม่ได้ แต่กลายเป็นว่าเราไปเจอร้านซ่อมชื่อว่า Fix by Love (ซ่อมด้วยรัก) เขาซ่อมมันให้เราดีมากจนกลับมาสมบูรณ์แทบทั้งหมดอีกครั้ง ถ้าใบนี้หายไปอีกเราคงซึมมาก **

“วันที่เราได้มาเป็นวันที่เรานั่งคุยกับพี่ป๊อบ – ปานชลี สถิรศาสตร์ ศิลปินนักปั้นยาวนานมาก นานจนเขาชวนไปที่บ้าน เราถึงได้เห็นคอลเลกชันถ้วยสีนิลของเขา เรากินข้าวด้วยกัน ดื่มชาด้วยกันทั้งวันไม่ขยับตัวเลย ไม่ได้เจอเขานานแล้ว มองแล้วก็คิดถึงเขานะ เขาเป็นคนอบอุ่นมาก
“อีกอย่างที่เรารักถ้วยใบนี้เพราะมันทำให้รู้จักปรัชญาคินสึงิ ปรัชญาความสมบูรณ์ในความไม่สมบูรณ์ เราได้เห็นว่าความสมบูรณ์ คือการมีรอยแตก มันเลี่ยงไม่ได้ในการใช้ชีวิต อย่างไรก็จะมีช่วงพังๆ ช่วงผิดพลาด และที่สำคัญการเห็นรอยแตกมันแสดงให้เห็นว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง คนก็เปรียบเหมือนถ้วยชาที่แตกนะ อย่างน้อยต้องเคยมีการแตกหรือร่องรอยอะไรอยู่ กลายเป็นบทเรียนสำคัญในการให้อภัยตัวเองเหมือนกัน เราอนุญาตให้ตัวเองไม่เพอร์เฟกต์และยอมรับตัวเอง ความไม่สมบูรณ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นเราที่ล้างออกไม่ได้”

ยอมรับว่าประทับใจกับประโยคสุดท้ายของเขา จูเลี่ยนยังคงมีถ้อยคำที่เปี่ยมไปด้วยปรัชญาเหมือนเมื่อสามปีที่แล้วไม่มีผิด และการกระทำของเขาก็บ่งบอกถึงรักที่มีให้เพื่อนสนิทได้ดีเหลือเกิน เขาจะทิ้งถ้วยชาไปก็ได้ ในเมื่อมันแตกออกเป็นหลายส่วน แต่เขากลับเก็บซากที่แตกเหล่านั้นไว้จนครบ และเลือกหาร้านซ่อมแซมให้มันกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
จูเลี่ยนมองความผิดพลาดของตัวเองว่าเป็นเรื่องธรรมดา มองเห็นความงดงามในความขี้ริ้วขี้เหร่และไม่สมประกอบ
“ชาดูจะอยู่กับคุณแทบทุกอารมณ์เลยนะ ถ้าถามถึงใบที่ใช้เมื่อตกอยู่ในอารมณ์เศร้านี่มีหรือเปล่า” เราถาม
“ไม่คิดว่าจะมีคำตอบแต่มี” จูเลี่ยนยิ้ม** “จริงๆ ปีนี้เราไม่ค่อยมีเรื่องเศร้า จะเหนื่อยงานมากกว่า แต่ท้ายที่สุดความเหนื่อยของเรามันส่งผลกระทบกับคนรอบข้าง แล้วเราก็โหยหาบ้าน อยากกลับบ้านมากๆ ตอนนั้นก็เลือกใช้ใบนี้”**

“ชาสำคัญแค่ไหนกับชีวิตของคุณเหรอ” หลังสิ้นคำถามจูเลี่ยนก็หัวเราะดัง
“เราดื่มชาแทนน้ำเลยนะ! ตื่นปุ๊บก็ดื่มเลย จิบชาหลังเลิกงาน วันไหนอัดเสียงหรือเขียนเพลงอยู่ที่บ้านก็จะดื่มทั้งวัน ทั้งวันจริงๆ!
“มันสำคัญกับเราทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะไลฟ์สไตล์คนที่บ้านเราจะเน้นการทำอะไรแบบไปข้างหน้า เน้นให้เอาอีกทำอีก แต่การอยู่กับชาต้องช้า ถ้าเมื่อไหร่ที่รีบกับชามันจะไม่ดี ถามว่าดื่มได้ไหมถ้าไม่ผ่านแต่ละสเตป ก็ดื่มได้นะ แต่เสน่ห์และเวทมนตร์ของชา คือเวลาที่เราใช้กับชา มันบังคับให้เราเปลี่ยนวิถีชีวิต ถ้าอยากดื่มชาก่อนไปทำงานก็ต้องตื่นเช้าหน่อย ชาทำให้คนที่ละเอียดอ่อนอยู่แล้วอย่างเราละเอียดอ่อนขึ้นไปอีก”
เป็นเรื่องจริงที่จูเลี่ยนมีนิสัยละเอียดอ่อน เพราะระหว่างที่เรากำลังตกอยู่ในห้วงสนทนา จูเลี่ยนก็ขอตัวเดินเข้าไปในครัว เขากลับมาพร้อมขนมปังในถาดไม้มากกว่าห้าก้อนพลางยื่นให้คนในกอง เขาบอกว่าได้ยินเสียงท้องร้อง

****ประโยคคำถามถัดมาทำให้จูเลี่ยนขมวดคิ้วนิดหน่อย **“ถ้วยชาเปรียบเหมือนอะไรในชีวิตคุณเหรอ” ** แต่ครู่เดียวเท่านั้นเขาก็ตอบได้ราวเคยคุยกับตัวเองมาแล้ว **“เหมือนจิตใจ จิตใจที่มันอาจจะว่างเปล่าแต่ชาช่วยเติมความสงบเข้ามา **
“ถ้าไม่มีชาคงมีอะไรต่ออะไรมากวนใจเราได้อีกมากเลย ไม่ค่อยมีอะไรที่ดึงเราไปอยู่กับความคิดของตัวเองได้อย่างมีคุณภาพเท่าชา อย่างก่อนเริ่มทำเพลง เราก็จะดื่มชาเพื่อให้ตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบัน แล้วมันก็ทำให้เราไม่เหงาเหมือนมีเพื่อน และช่วยเปิดโอกาสให้เราทำความเข้าใจกับความเหงาว่าท้ายที่สุดเราต้องอยู่กับตัวเองให้ได้”
You said you’d be alright
I thought you’d be alright
เราตั้งสมมติฐานว่าหากถ้วยชามีชีวิต **“มีอะไรอยากบอกถ้วยชาที่เป็นเพื่อนสนิทคุณไหม” **
**“ขอบคุณที่อดทนกับเรามากๆ ที่เราเคยบอกว่าความเชื่อและจุดยืนเรามันชัด มันไม่ใช่เรื่องดีเสมอไปนะ แต่เรารู้ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว เพื่อนสนิทอย่างถ้วยชาเข้ามาย้ำเตือนตรงนี้ให้เราคิดมากขึ้นอีกว่าแน่ใจใช่ไหมที่ทำลงไป มันใช่แน่แล้วหรือเปล่า เพราะเขาบังคับให้เราอยู่กับตัวเอง ให้เราตั้งคำถามที่เป็นกระจกสะท้อนตัวเอง” **แล้วน้ำในกาก็ส่งเสียงเดือดปุดๆ เป็นครั้งที่สอง ดูท่าแล้วจูเลี่ยนอาจกำลังคอแห้ง
“คิดว่าถ้าไม่ได้รู้จักโลกของชา ชีวิตคุณในทุกวันนี้จะเป็นอย่างไร” เราถาม
“ท้องอืด!” เป็นอันเห็นได้จากชายกที่สามในมือของเขา **“มันเคยมีเหตุการณ์ที่เราไปเล่นดนตรีที่ต่างจังหวัด ทีมงานเขาดูแลเราดีมากนะ แต่ไม่รู้ทำไมเราดันหงุดหงิดขึ้นมาเฉยๆ รู้สึกอยากอยู่คนเดียว ไม่อยากคุยกับใคร ไม่อยากเจอคนใจดีด้วย จนมารู้เอาวันสุดท้ายที่เห็นกาชาตั้งอยู่บนโต๊ะ แล้วอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างก็เปลี่ยนทันที เราก็อ๋อ! ไออารมณ์บูดๆ ที่ผ่านมานี่เป็นเพราะไม่ได้ดื่มชาเหรอ ตอนนั้นเป็นจอกแรกในรอบสามวันเลยนะ เห็นไหมสำคัญกับเราขนาดนี้เลย **

****“การที่คุณต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆ แล้วมีถ้วยชาอยู่ด้วยทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นไหม” จูเลี่ยนพยักหน้ารับ “ชาทำให้เรารู้สึกว่ายังมีชิ้นเล็กๆ บางชิ้นจากชีวิตในช่วงหนึ่งหรือที่หนึ่งที่เคยอยู่ เขายังอยู่กับเรา แม้เราอาจจะกลับไปอยู่ที่เก่าไม่ได้แล้วก็ตาม
เราเหลือบมองเข็มนาฬิกาที่ชี้เกือบเลขสาม ใกล้จะต้องสิ้นสุดการสนทนาแล้ว ถึงเวลาทิ้งทวนของที่รฤกแห่งปีให้แก่จูเลี่ยน** “ตลอดปี 2025 คุณมีตำหนิหรือรอยร้าวอะไรในตัวเองที่เพิ่มขึ้นมาไหม”**
**“อาจจะเป็นตำหนิเดิมแต่เราดันเห็นมันชัดขึ้น แต่มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ เราพูดกับลูกศิษย์และเพื่อนหลายคนเสมอว่าคนที่มีดาบไม่ใช่คนไม่ดี แต่ต้องรู้ว่าควรหยิบดาบออกมาใช้เมื่อไห่ร หรือเมื่อไหร่ที่ไม่ควรใช้ ถ้ามองอีกมุมหนึ่งมันคือแรงสู้ในการทำงานของตัวเอง ปกป้องตัวเองเมื่อถูกกลั่นแกล้ง หลายครั้งเราไม่ได้ใจดีขนาดนั้น เราเป็นคนจุดยืนชัด มีความเชื่อชัด ถ้าเจอในสิ่งที่ไม่เชื่อก็จะสู้” **จูเลี่ยนตอบด้วยแววตาหนักแน่น
**“มีบทเรียนที่ระลึกในปี 2025 ที่อยากเก็บไว้หรือเปล่า” **แล้วแววตาของจูเลี่ยนก็ดูจะหนักแน่นขึ้นไปอีก เมื่อต้องตอบคำถามนี้
“เราดูแลตัวเอง วิจารณ์ตัวเอง รักตัวเองมากขึ้น เพราะรู้แล้วว่าคนที่สำคัญที่สุดก็คือตัวเราเอง เราขีดเส้นหลายเส้นขึ้นมาในชีวิตเพื่อจะได้รู้ว่าใครที่อยู่กับเราได้ ใครไปต่อกับเราได้ น่าเศร้าเหมือนกันที่บางคนข้ามเส้นนั้นมาไม่ได้ อาจจะเป็นคนที่เราเคยนับถือหรือไว้ใจด้วยซ้ำไป ขณะเดียวกันเราก็อยู่บางที่ไม่ได้เพราะมันไม่ใช่ที่ของเรา

**“ในความเป็นจริงเราไม่สามารถบิดตัวเองให้เข้ากับทุกคนและควบคุมทุกอย่างได้ทั้งหมด เราควบคุมได้แค่ตัวเอง ท้ายที่สุดมันจะเหลือแค่คนที่อยู่กับเราได้จริงๆ รักเราจริงๆ เห็นคุณค่าเราจริงๆ **
**“คนอื่นจะไม่ทำทุกอย่างให้เราอยู่แล้ว ทำไมเราจะต้องทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น ต้องพยายามย้ำคุณค่าของตัวเอง ฝึกทำเพื่อตัวเองจนเป็นนิสัย ชีวิตที่ดีและเป็นของเราจริงๆ เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่เรารู้จักขีดเส้นให้ตัวเอง นี่พูดจากใจของคนที่เป็น People Pleaser มาตลอดชีวิตเลยนะ” **ยิ้มของจูเลี่ยนในครั้งนี้เหมือนเป็นรอยยิ้มแห่งความภูมิใจเล็กๆ ในตัวเอง
จู่ๆ นกข้างนอกก็ส่งเสียงร้องขึ้น แล้วจู่ๆ เสียงของหนุ่มโคโลราโดก็ดังขึ้นด้วยพูดอวดถึงห่อชาห่อใหญ่ที่ม้วนกลมเหมือนก้อนฟาง เขาว่าซื้อมาในราคาหลักหมื่นอย่างไม่คิดอะไร
สงสัยคงต้องเพิ่มนามคุ้นหูขึ้นมาอีกชื่อหนึ่ง นอกจาก **‘อ.จูเลี่ยน แครีย์ ณ ตลิ่งชัน’ เป็นอันต้องมอบนามใหม่ ‘อ.จูเลี่ยน แครีย์ ณ ผู่เอ๋อร์’ **

เราหันหลังปิดประตูให้เจ้าบ้าน ก่อนจะมองล