✨ ข้อ ๑๓ แห่งระเบียบการนิติกรณ์เอกสาร พ.ศ. 2568: ทำไมคำแปลจากภาษาต่างประเทศที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษต้องผ่านการรับรองสองชั้น ✨ ระเบียบกระทรวงการต่างประเทศ พ.ศ. 2568 ได้วางหลักใหม่ที่สำคัญเกี่ยวกับการนิติกรณ์คำแปลจาก ภาษาต่างประเทศที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง “ใครมีสิทธิแปล” และ “ต้องยื่นต่อที่ใดก่อน” บทความนี้จะอธิบายสาระสำคัญของ ข้อ ๑๓ ให้เข้าใจง่ายและเห็นภาพของกระบวนการทั้งหมดอย่างชัดเจน
🔍 1. ทำไมต้องมีหลักเกณฑ์เฉพาะสำหรับภาษาที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ
ในหลายประเทศ การแปลเอกสารราชการหรือเอกสารสำคัญไปเป็นภาษาไทย อาจทำโดยผู้ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน กรมการกงสุลจึงกำหนดวิธีตรวจสอบคุณภาพและตัวตนของผู้แปลผ่านระบบของ “ประเทศต้นทาง” เพื่อให้ประเทศไทยมั่นใจได้ว่า
ผู้แปลมีตัวตนจริง
ผู้แปลได้รับการรับรองจากรัฐเจ้าของภาษา
คำแปลมีความถูกต้องตามมาตรฐานของทางการ
นี่คือเหตุผลที่ต้องให้เอกสารผ่านการ นิติกรณ์สองชั้น ได้แก่ ประเทศต้นทาง → ไทย
📝 2. ผู้แปลต้องเป็นผู้ที่รัฐบาลประเทศต้นทางรับรอง
ตามข้อ ๑๓ ผู้…
✨ ข้อ ๑๓ แห่งระเบียบการนิติกรณ์เอกสาร พ.ศ. 2568: ทำไมคำแปลจากภาษาต่างประเทศที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษต้องผ่านการรับรองสองชั้น ✨ ระเบียบกระทรวงการต่างประเทศ พ.ศ. 2568 ได้วางหลักใหม่ที่สำคัญเกี่ยวกับการนิติกรณ์คำแปลจาก ภาษาต่างประเทศที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง “ใครมีสิทธิแปล” และ “ต้องยื่นต่อที่ใดก่อน” บทความนี้จะอธิบายสาระสำคัญของ ข้อ ๑๓ ให้เข้าใจง่ายและเห็นภาพของกระบวนการทั้งหมดอย่างชัดเจน
🔍 1. ทำไมต้องมีหลักเกณฑ์เฉพาะสำหรับภาษาที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ
ในหลายประเทศ การแปลเอกสารราชการหรือเอกสารสำคัญไปเป็นภาษาไทย อาจทำโดยผู้ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน กรมการกงสุลจึงกำหนดวิธีตรวจสอบคุณภาพและตัวตนของผู้แปลผ่านระบบของ “ประเทศต้นทาง” เพื่อให้ประเทศไทยมั่นใจได้ว่า
ผู้แปลมีตัวตนจริง
ผู้แปลได้รับการรับรองจากรัฐเจ้าของภาษา
คำแปลมีความถูกต้องตามมาตรฐานของทางการ
นี่คือเหตุผลที่ต้องให้เอกสารผ่านการ นิติกรณ์สองชั้น ได้แก่ ประเทศต้นทาง → ไทย
📝 2. ผู้แปลต้องเป็นผู้ที่รัฐบาลประเทศต้นทางรับรอง
ตามข้อ ๑๓ ผู้แปลที่ทำคำแปลเป็นภาษาไทยต้องเป็นบุคคลที่
ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นนักแปลโดยรัฐบาลประเทศต้นทาง หรือ
ได้รับการรับรองคุณสมบัติด้านการแปลเป็นภาษาไทยโดยหน่วยงานของรัฐในประเทศนั้น
ผู้แปลจะต้องลงลายมือชื่อรับรองว่า
“รับรองคำแปลถูกต้อง”
บนเอกสารแปลภาษาไทยทุกฉบับ
สิ่งนี้ทำให้มั่นใจว่า การแปลมิใช่มาจากผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติ หรือบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้ผ่านการรับรองตามระบบของรัฐต่างประเทศ
🌍 3. ขั้นตอนการนิติกรณ์ในต่างประเทศ (เมื่อยื่นต่อสถานทูต/กงสุลไทย)
หากต้องยื่นนิติกรณ์คำแปลที่สถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ ผู้ยื่นจะต้องนำ:
ต้นฉบับเอกสารภาษาต่างประเทศที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ
ซึ่งผ่านการนิติกรณ์จากหนึ่งในหน่วยงานของประเทศต้นทาง เช่น
กระทรวงการต่างประเทศของประเทศนั้น (MFA)
Notary Public
หรือหน่วยงานอื่นตามที่กฎหมายกำหนด
คำแปลภาษาไทย
ที่ลงนามรับรองโดยผู้แปลที่รัฐประเทศต้นทางรับรอง
สำนักงานกงสุลไทยในประเทศนั้นจะตรวจสอบตรารัฐ ความถูกต้องของขั้นตอน และดำเนินการนิติกรณ์ให้ตามระเบียบ
🏛️ 4. ขั้นตอนในการยื่นที่กรมการกงสุลในประเทศไทย
หากต้องยื่นคำแปลต่อกรมการกงสุลในประเทศไทย ผู้ยื่นต้องนำ:
ต้นฉบับเอกสารภาษาต่างประเทศ
คำแปลภาษาไทย
ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ต้องผ่านการนิติกรณ์จากสถานทูต/กงสุลไทยในต่างประเทศมาแล้ว
กรมการกงสุลไทยจะตรวจสอบตรานิติกรณ์ของสถานทูต/กงสุลไทย (ซึ่งเท่ากับตรวจสอบความถูกต้องของการรับรองจากประเทศต้นทางอีกทอดหนึ่ง)
นี่คือระบบ “ตรวจสอบซ้อน” ที่สร้างความปลอดภัยด้านเอกสารและลดโอกาสปลอมแปลง หรือใช้ผู้แปลที่ไม่มีสิทธิ
🔒 5. เหตุใดระบบนิติกรณ์สองชั้นจึงสำคัญ
การตรวจสอบผู้แปลต่างประเทศโดยตรงเป็นเรื่องยากและไม่มีฐานข้อมูลสากลที่ไทยสามารถเข้าถึงได้
ดังนั้นประเทศต้นทางจึงเป็นผู้ยืนยันว่า
นักแปลมีตัวตนและมีคุณสมบัติจริง
การรับรองคำแปลถูกต้องตามกฎหมายของประเทศนั้น
เมื่อสถานทูต/กงสุลไทยประทับตราอีกครั้ง ก็เป็นการรับรองว่า
การแปลนั้น “ตรวจสอบได้จากทั้งสองประเทศ”
จึงเพิ่มความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัยทางกฎหมาย และช่วยป้องกันปัญหาการปลอมตัวเป็นผู้แปล
🎯 สรุปสาระสำคัญของข้อ ๑๓
ผู้แปลต้องได้รับการรับรองจากรัฐบาลประเทศต้นทาง
ประเทศต้นทางเป็นผู้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้แปล
ไทยตรวจสอบ “ตรารัฐของประเทศนั้น” ไม่ใช่ตัวผู้แปลโดยตรง
เอกสารต้องผ่านการนิติกรณ์สองชั้น:
ประเทศต้นทาง → สถานทูต/กงสุลไทยในต่างประเทศ → กรมการกงสุลไทย
ช่วยยืนยันความถูกต้อง ป้องกันปลอมแปลง และสร้างมาตรฐานสูงในงานแปลราชการ
