⚖️ เหตุผลที่ศาลสหรัฐ “ไม่รับฟัง” เอกสารที่แปลด้วย Google Translate ⚖️ ศาลสหรัฐมีจุดยืนค่อนข้างชัดเจนว่า การแปลด้วยเครื่อง (machine translation) เช่น Google Translate ไม่สามารถใช้ในศาลแทนคำแปลแบบรับรองได้ เนื่องจากมีปัญหาหลัก ๆ ดังนี้:
1️⃣ ไม่สามารถตรวจสอบหรือรับรองความถูกต้องได้ (Lack of Reliability)
ภายใต้กฎพยานหลักฐานของสหรัฐ (Federal Rules of Evidence – FRE) ข้อสำคัญที่สุดคือ ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐาน แต่ Google Translate:
แปลตามสถิติ ไม่ใช่ตามความหมายทางกฎหมาย
ไม่มีชื่อผู้รับผิดชอบ
แปลคลาดเคลื่อนง่าย โดยเฉพาะศัพท์เฉพาะหรือบริบททางกฎหมาย
ศาลจึงเห็นว่าเอกสารที่แปลด้วยเครื่อง ไม่ผ่านมาตรฐานความน่าเชื่อถือ (reliability) ที่ศาลต้องการ
2️⃣ ไม่มี “ผู้แปลที่สามารถสอบถามหรือทวนสอบได้” (No Qualified Translator to Cross-Examine)
เมื่อฝ่ายคู่ความต้องการโต้แย้งคำแปล เช่น โต้แย้งว่าคำแปลผิดหรือขาดบริบท ศาลต้องการให้มี “ผู้แปลที่ระบุตัวตนได้” เพื่อ:
เรียกมาให้ปากคำ
อธิบายกระ…
⚖️ เหตุผลที่ศาลสหรัฐ “ไม่รับฟัง” เอกสารที่แปลด้วย Google Translate ⚖️ ศาลสหรัฐมีจุดยืนค่อนข้างชัดเจนว่า การแปลด้วยเครื่อง (machine translation) เช่น Google Translate ไม่สามารถใช้ในศาลแทนคำแปลแบบรับรองได้ เนื่องจากมีปัญหาหลัก ๆ ดังนี้:
1️⃣ ไม่สามารถตรวจสอบหรือรับรองความถูกต้องได้ (Lack of Reliability)
ภายใต้กฎพยานหลักฐานของสหรัฐ (Federal Rules of Evidence – FRE) ข้อสำคัญที่สุดคือ ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐาน แต่ Google Translate:
แปลตามสถิติ ไม่ใช่ตามความหมายทางกฎหมาย
ไม่มีชื่อผู้รับผิดชอบ
แปลคลาดเคลื่อนง่าย โดยเฉพาะศัพท์เฉพาะหรือบริบททางกฎหมาย
ศาลจึงเห็นว่าเอกสารที่แปลด้วยเครื่อง ไม่ผ่านมาตรฐานความน่าเชื่อถือ (reliability) ที่ศาลต้องการ
2️⃣ ไม่มี “ผู้แปลที่สามารถสอบถามหรือทวนสอบได้” (No Qualified Translator to Cross-Examine)
เมื่อฝ่ายคู่ความต้องการโต้แย้งคำแปล เช่น โต้แย้งว่าคำแปลผิดหรือขาดบริบท ศาลต้องการให้มี “ผู้แปลที่ระบุตัวตนได้” เพื่อ:
เรียกมาให้ปากคำ
อธิบายกระบวนการแปล
ยืนยันความถูกต้อง
แต่ Google Translate ไม่มีตัวบุคคล
ศาลจึงไม่สามารถ cross-examine ผู้แปลได้
และนั่นทำให้คำแปล ไม่เป็นหลักฐานที่ยอมรับในกระบวนการยุติธรรม
3️⃣ การแปลด้วยเครื่องเข้าข่าย “hearsay ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้”
หลายคดีในสหรัฐวินิจฉัยตรงกันว่า คำแปลที่ได้จาก AI หรือระบบอัตโนมัติเป็น “ข้อมูลที่ไม่มีเจ้าของ” (anonymous statement)
จึงถือเป็น:
Hearsay ที่ตรวจสอบความน่าเชื่อถือไม่ได้ → จึง inadmissible
4️⃣ ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย สามารถทำให้ “ความหมายกฎหมายเปลี่ยน”
สัญญา หนังสือสาบานตน คำให้การ หรืออีเมลธุรกิจ มักมีความหมายทางกฎหมายเฉพาะ Google Translate มักแปลผิดในเรื่อง:
คำกริยาทางกฎหมาย (shall / may / must)
คำศัพท์เฉพาะ (waiver, indemnity, jurisdiction)
น้ำเสียงหรือบริบท
ความหมายทางสัญญาที่ต้องแม่นยำสูง
ศาลสหรัฐให้ความสำคัญกับ ความแม่นยำแบบ zero-tolerance
เพราะการแปลผิดเพียงหนึ่งคำสามารถเปลี่ยนผลของคดีได้
5️⃣ ฝ่ายที่ยื่นเอกสารต้องรับผิดชอบภาระพิสูจน์ความถูกต้อง (Burden of Proof)
ศาลกำหนดว่า:
ผู้ยื่นเอกสารภาษาต่างประเทศ ต้องแนบคำแปลที่ “รับรองความถูกต้อง” โดยผู้แปลที่มีคุณสมบัติเหมาะสม (certified translator)
เมื่อยื่นคำแปลที่ทำจาก Google Translate
ฝ่ายนั้น ไม่สามารถพิสูจน์ความถูกต้องของคำแปลได้
จึงไม่ผ่าน burden of proof → ทำให้เอกสารถูกตีตก
6️⃣ คำพิพากษา (Case Law) ยืนยันแนวทางเดียวกัน
คดีในสหรัฐ เช่น
U.S. v. Ramos-Gonzalez, U.S. v. Benitez, Zargarian v. United States
ต่างระบุว่า:
คำแปลจาก Google Translate “มีความคลาดเคลื่อนสูง”
“ไม่สามารถใช้แทนการแปลโดยผู้เชี่ยวชาญได้”
“ไม่เป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้ตามมาตรฐานของศาล”
แนวคำพิพากษาเหล่านี้ทำให้ศาลระดับล่างต้องปฏิบัติตาม
📝 สรุปสั้น ๆ
ศาลสหรัฐไม่รับฟังเอกสารที่แปลด้วย Google Translate เพราะ:
ไม่น่าเชื่อถือ
ตรวจสอบหรือสอบถามผู้แปลไม่ได้
เข้าข่าย hearsay ที่ตรวจสอบไม่ได้
เสี่ยงต่อการแปลผิดในประเด็นกฎหมายสำคัญ
ไม่ผ่าน burden of proof ของผู้ยื่น
คำพิพากษาศาลสหรัฐตอกย้ำว่าการแปลด้วยเครื่องไม่ใช่หลักฐาน
